ความรู้เกี่ยวกับกีฬา สาระกีฬา สุขภาพ การออกกำลังกาย

9 วิธีเลือกผักผลไม้ให้ปลอดภัย

วิธีเลือกผักผลไม้ให้ปลอดภัย

ผักผลไม้เป็นอาหารที่จำเป็นต่อมนุษย์ เนื่องจากมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ครั้นจะปลูกกินเองทุกชนิดก็คงทำไม่ได้ ก็เหมือนกับการเลือกเชียร์คู่บอล ผู้ชมส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกเชียร์แต่ทีมที่ตนเองชื่นชอบ แต่ไม่ได้คำนึงฟอร์ม ณ ตอนนั้น แต่ถ้าหากศึกษาข้อมูลจาก ก็จะทำให้เราเลือกทีมที่มีโอกาสชนะได้แม่นยำมากขึ้น เช่นเดียวกับการเลือกผัก เราจึงต้องมีวิธีเลือกซื้อผักให้ปลอดภัยจากยาฆ่าแมลง หรือสารพิษที่ตกค้างได้มากที่สุด ลองนำวิธีเลือกผัก ผลไม้เหล่านี้ไปใช้กัน ดังนี้ วิธีเลือกผักให้ถูกหลักอนามัย เลือกผักผลไม้สะอาด จะต้องปลอดคราบดิน,คราบขาวของสารเคมี หรือเชื้อรา ที่มักจะอยู่ตามใบ ก้าน และกอผัก เมื่อลองดมจะต้องไม่ได้กลิ่นฉุนของสารเคมี ผักที่มีรอยกัดแทะของแมลง ร่องรอยที่แมลงกัดแทะทิ้งไว้บ่งบอกว่าถ้าแมลงกินได้ มนุษย์ก็น่าจะปลอดภัยไปแล้วระดับหนึ่ง การมีร่องรอยของแมลงยังไม่ได้บ่งบอกว่าไม่มีสารพิษเลยแต่คาดว่าจะมีอยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ ผักตามฤดูกาล ผักที่เก็บเกี่ยวตามฤดูกาลจะไม่ต้องใช้สารเคมีในการเร่งปฏิกิริยาให้พืชทำงานผิดไปจากธรรมชาติปกติ ต่างจากผักนอกฤดูกาลซึ่งชาวสวนมักจะใช้กรรมวิธีดังกล่าวเพื่อให้ผลผลิตได้ราคาดีในช่วงนอกฤดูกาลนั่นเอง เช่น ทุเรียน นอกฤดู เป็นต้น ผักพื้นบ้าน ผักพื้นบ้านปลูก หรือขึ้นเองตามธรรมชาติโดยไม่ต้องใส่ปุ๋ยเคมี และมีความทนทานต่อศัตรูพืชจึงไม่ต้องพึ่งยาฆ่าแมลง เช่น ตำลึง หัวปลี ไชยา (คะน้าเม็กซิกัน) เป็นต้น ผักผลไม้อนามัย ซึ่งเป็นผลผลิตตามมาตรฐานของกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรฯ และผักปลอดภัย ที่ได้รับตรารับรองคุณภาพจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ทั้งสองชนิดนี้เป็นผลผลิตที่ใช้สารเคมีในระบบการเพาะปลูก แต่ได้รับการควบคุมปริมาณสารเคมีตกค้างให้อยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ผักไฮโดรโปรนิค เป็นผักที่ปลูกในน้ำที่ให้สารอาหารพืชสังเคราะห์ …

ประโยชน์จากการดื่มโกโก้ธรรมชาติ

ประโยชน์จากการดื่มโกโก้ธรรมชาติ

เมื่อคิดจะเติมความพลังสร้างความกระปรี้กระเปร่าคนส่วนใหญ่คงปรี่เข้าหากาแฟชนิดต่างๆ ตามใจชอบ และหลายคนก็ดื่มมากกว่า 1 แก้วต่อวันจนเกินปริมาณที่เหมาะสม แนะนำให้ลองหันมาดื่มเครื่องดื่มประเภทโกโก้ในแบบธรรมชาติ เพราะในโกโก้มีสารธรรมชาติที่เป็นประโยชน์กับร่างกายมากมาย ดังจะกล่าวต่อไปนี้  โกโก้ให้อะไรกับร่างกายเราบ้าง ? เสริมผิวสวย โกโก้เป็นแหล่งสำคัญของพอลิฟีนอล (Polyphenols) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิว ผิวเกิดริ้วรอยช้า ทำให้ผิวสวย แก่ช้า นอกจากนี้ สารฟลาโวนอยด์ในโกโก้ยังช่วยเสริมเซลล์ผิวให้แข็งแรงต้านแสงยูวี คนที่มีโอกาสทำงานกลางแจ้งบ่อย ๆ แนะนำให้รับประทาน  ลดความอ้วน สารพอลิฟีนอล (Polyphenols) ช่วยสร้างความร้อนกระตุ้นระบบเผาผลาญในร่างกาย ลดความดันโลหิต ฟลาโวนอยด์ในโกโก้ช่วยกระตุ้นให้ผลิตไนตริกออกไซด์ (Nitric oxide) ที่จะช่วยกระตุ้นให้หลอดเลือดขยายตัว การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ส่งผลให้ความดันโลหิตลดลงได้  ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ด้วยเพราะสารทีโอโบรไมน์ และฟีนิลอะลานีน จะทำหน้าที่ขยายหลอดเลือด ลดไขมันเลวเพิ่มไขมันดี กระตุ้นการทำงานของหัวใจ และหลอดเลือด ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้ดี ทำให้หัวใจทำงานแข็งแรง นอกจากนี้สารธีโอโบรไมน์ยังออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทช่วยควบคุมการไอแบบฉับพลันได้ด้วยแต่จะมีผลในช่วงที่สารมีฤทธิ์เท่านั้น  ลดความเครียด ผ่อนคลาย หลับสบาย กรดอะมิโนจำเป็นชื่อทริปโตเฟน (Tryptophan) ที่ได้รับจากโกโก้จะได้รับการเปลี่ยนจากสมองเป็นสารซีโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทในระบบประสาทส่วนกลาง ที่มีคุณสมบัติช่วยให้ผ่อนคลายและทำให้นอนหลับได้อย่างสงบสุขอีกด้วย สมองสดใสไกลอัลไซเมอร์ ด้วยพระเอกในผงโกโก้ธรรมชาติ คือ …

เทคนิคสร้างแรงบันดาลใจในวันหมดไฟ

การดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ทำให้คุณต้องเผชิญกับปัญหา ความเครียด และแรงกดดันรอบตัว โดยสิ่งเหล่านี้คือต้นตอทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย จนเกิดเป็นภาวะ “หมดไฟ” ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาที่ร่างกายไม่ต้องการทำอะไร ต้องการเพียงอยู่เฉย ๆ เพราะรู้สึกล้มเหลว แต่รู้หรือไม่ว่าภาวะหมดไฟนี้แก้ได้เพียงใช้ “แรงบันดาลใจ” เป็นเครื่องมือขับเคลื่อน ซึ่งแรงบันดาลใจคือสิ่งสำคัญที่ทำให้อาการนี้หายไปอย่างรวดเร็ว เพราะอะไรแรงบันดาลใจจึงสำคัญ ? การก้าวไปถึงจุดหมาย นอกจากความตั้งใจแล้วยังต้องมีแรงบันดาลใจที่ทำหน้าที่เปรียบเสมือนพลังที่คอยผลักดันให้เดินทางสู่เป้าหมายได้สำเร็จ ซึ่งหากปราศจากแรงบันดาลใจแล้วก็เปรียบเสมือนไฟที่ปราศจากเชื้อเพลิง ดังนั้น แรงบันดาลใจจึงเป็นสิ่งสำคัญและมีส่วนอย่างยิ่งในการทำให้สิ่งที่หวังประสบความสำเร็จ แรงบันดาลใจ สร้างได้อย่างไรบ้าง ? 1. อ่านเรื่องราวไอดอลที่ชื่นชอบ บางครั้งคนเราอาจใช้ “ใครอีกคน” เป็นแรงบันดาลเดินทางสู่ความสำเร็จ โดยอาจเป็นคนในครอบครัว บุคคลใกล้ชิด หรือไอดอลในแวดวงต่าง ๆ แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร หากเขาเหล่านั้นสามารถสร้างแรงบันดาลใจแก่เราได้ ให้ลองอ่านประวัติหรือแนวทางการดำเนินชีวิตของเขาก่อนที่จะประสบความสำเร็จ โดยการอ่านเรื่องราวของบุคคลที่ชื่นชอบอาจทำให้ได้แรงบันดาลใจใหม่ ๆ ในการกลับมามีไฟได้อีกครั้ง 2. หนังสือเล่มโปรด สำหรับใครที่ชอบอ่านหนังสือ ลองเติมแรงบันดาลใจด้วยการหยิบหนังสือเล่มโปรดขึ้นมาอ่าน ยิ่งหากเป็นหนังสือจิตวิทยาพัฒนาตนเองหรือหนังสือที่ช่วยสร้างกำลังใจยิ่งดีต่อสุขภาพใจ เพราะนี่คือตัวช่วยให้กลับมาเข้มแข็งและเดินต่ออีกครั้ง 3. ทบทวนเป้าหมาย หลายครั้งที่หมดกำลังใจคือหลายครั้งที่เราอาจลืมไปว่าเรามีเป้าหมาย และลืมไปว่าเป้าหมายนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด ดังนั้น เมื่อมีเป้าหมายควรเขียนใส่สมุดบันทึกเอาไว้ เพื่อที่ยามท้อแท้หรือหมดไฟจะได้หยิบมาอ่าน เพื่อทบทวนความฝันอันยิ่งใหญ่และกลับมามีไฟได้ในเร็ววัน …

เหตุผลที่คนทำงานควรหาเวลาเล่นโยคะ

ออฟฟิศซินโดรม อาการยอดฮิตที่เกิดขึ้นกับคนที่ต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ โดยไม่ค่อยได้ขยับเปลี่ยนอิริยาบถ จุดเริ่มต้นของอาการนี้มักเริ่มจาก การปวดคอ, ปวดหลัง, ปวดไหล่, ปวดศอกหรือข้อมือ ก่อนจะพัฒนาไปสู่ปัญหากล้ามเนื้ออักเสบและอาการปวดเรื้อรัง หากไม่รีบรักษาอาจรุนแรงมากขึ้นจนกระทบต่อระบบประสาทอัตโนมัติ เช่นทำให้เกิดอาการชา, วูบ, และมึนงง ซึ่งจะก็จะต้องจบลงด้วยการพบแพทย์ ใช้ยา และกายภาพบำบัดในการรักษา โยคะ วิธีบำบัดอาการออฟฟิศซินโดรมที่ทำได้ง่าย ๆ ผู้มีปัญหาอาการออฟฟิศซินโดรมจำนวนไม่น้อยจะได้รับคำแนะนำให้เปลี่ยนอิริยาบถ ในระหว่างการนั่งทำงานให้บ่อยขึ้นและหากเป็นไปได้ควรหาโอกาสยืดเหยียด กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ เพื่อคลายความตึงและล้า ซึ่งเทคนิคนี้ก็คือหนึ่งในหลักการสำคัญของโยคะนั่นเอง โยคะ กับสุขภาพของคนทำงาน หลักสำคัญของการฝึกโยคะนั้นนอกจากจะเน้นสร้างความสมดุลของร่างกาย เน้นการยืดเหยียด สร้างความยืดหยุ่นและแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายแล้ว ยังเน้นการควบคุมลมหายใจ ให้ผ่อนคลาย ลดความเครียดและกังวลอีกด้วย การฝึกโยคะเป็นประจำ จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งร่างกายและจิตใจ ดังนี้ – ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายดีขึ้น เพราะหลอดเลือดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายจะขยายตัว ในจังหวะที่มีการยืด หรือเหยียดกล้ามเนื้อ – เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับร่างกาย ลดอาการปวดเมื่อยล้าของร่างกาย – ลดความตึงเครียด เพราะขณะที่ฝึกโยคะ จะต้องกำหนดลมหายใจเข้า–ออก …

ไม่อยากเป็นโรคความดันโลหิตสูง ต้องหลีกเลี่ยงอาหารอะไรบ้าง

ความดันโลหิตสูง เป็นโรคเรื้อรังที่องค์การอนามัยโลกและกระทรวงสาธารณสุขของไทยต้องการรณรงค์ทุกคนรักษาสุขภาพให้ห่างไกลจากโรคนี้มากขึ้น โดยเพิ่มการออกกำลังกายและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการรับประทานอาหาร เรามาดูกันว่าอาหารใดบ้างที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อลดความเสี่ยงต่อภาวะโรคนี้ อาหารที่มีความเสี่ยง ที่ควรหลีกเลี่ยง อาหารมีเกลือปรุงรสเค็มและผงชูรส ซอสปรุงรสเค็ม อย่าง น้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสมะเขือเทศ เต้าเจี้ยว ฯลฯ ที่เราใช้ในการทำอาหารคาว หากดูที่ข้างฉลากจะมีตัวเลขแสดงเกลือโซเดียมอยู่ในปริมาณที่สูง ซึ่งมีการศึกษาพบว่า หากวันหนึ่งเรารับประทานเกลือมากกว่า 1 ช้อนชา จะทำให้ระดับความดันโลหิตสูงขึ้น 5-10 mmHg ได้ นอกจากนี้ ควรลดปริมาณผงชูรสในเมนูอาหารด้วย เพราะผงชูรสมีสูตรทางเคมีว่าโมโนโซเดียมกลูตาเมต จะทำให้เสี่ยงต่อความดันโลหิตสูงขึ้นได้เช่นกัน อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เนื่องจากหลอดเลือดของเรามีโอกาสอุดตันได้ง่ายจากไขมันอิ่มตัวที่มาจากอาหาร โดยเฉพาะเส้นเลือดขนาดเล็กที่ไปเลี้ยงหัวใจและสมอง เมื่อมีการอุดตัน ระดับความดันจะเพิ่มสูงขึ้นมาก ควบคู่กับปากเบี้ยว ความจำเสื่อม และหากไม่รีบรักษา ก็จะทำให้เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตได้ อาหารที่มีไขมันอิ่มตัว ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ เมนูอาหารจากหนังไก่ มันหมู นมข้นหวาน เบเกอรี่ คุกกี้ เค้ก ฯลฯ และน้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันปาล์ม นอกจากนี้ อาหารที่ทำด้วยการทอด จะมีไขมันทรานส์ซึ่งเป็นไขมันอิ่มตัวชนิดหนึ่ง อยู่ในสัดส่วนที่สูงกว่าอาหารที่ทำด้วยการต้มหรือนึ่ง แนะนำให้ผู้ที่ทำอาหารรับประทานเอง …

สิ่งที่ต้องรู้เมื่อต้องใช้ยาประจำตัว เพื่อความปลอดภัยของคุณ

ปัจจุบันมีคนป่วยด้วยโรคประจำตัวมากขึ้น เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง โรคเบาหวาน ฯลฯ ซึ่งจำเป็นต้องรับประทานยาอย่างถูกต้อง เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีและต้องป้องกันปัญหาลดความเสี่ยงด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับยาที่รับประทานด้วย เราจะมีวิธีการอย่างไร เพื่อดูแลตัวเองในการรับประทานยาอย่างปลอดภัยและได้ผลดีที่สุด 1. ใช้ยาตามที่แพทย์สั่งเท่านั้น เมื่อรักษากับโรงพยาบาลหรือคลินิกใด ก็ควรพบแพทย์ที่นั่นแห่งเดียว เพื่อให้มีแพทย์ประจำตัวที่รู้ประวัติการใช้ยาต่างๆ ของเรามากที่สุด ไม่ควรหาซื้อยาอื่นๆ เองเพิ่มเติมโดยไม่จำเป็น เพราะอาจเกิดปัญหายาตีกันทำให้ไม่ได้ผล หรือยาซ้ำซ้อนกัน จนเกิดอันตรายได้ 2. แจ้งเจ้าหน้าที่เรื่องโรคประจำตัวและยาที่แพ้ทุกครั้ง หากคุณมีปัญหาโรคติดเชื้อที่ไม่จำเป็นต้องกินยาต่อเนื่องอย่างยาโรคเรื้อรัง เช่น เป็นหวัด ท้องเสีย ฯลฯ คุณอาจซื้อยาที่ร้านขายยาใกล้ๆบ้านก็ได้ แต่ก็ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ที่ร้านให้ทราบว่าเคยแพ้ยาอะไรบ้าง หรือมีโรคประจำตัวอะไรอยู่ เพื่อให้การเลือกยาเหมาะสมกับคุณมากขึ้น ลดความเสี่ยงแพ้ยาซ้ำรุนแรงจนอาจเสียชีวิตได้ 3. สอบถามผู้เชี่ยวชาญก่อนการซื้อวิตามิน วิตามินหลายชนิดจะมีผลส่งเสริมฤทธิ์ของยา เช่น กระเทียม แปะก๊วย หรือน้ำมันปลาในแคปซูล สามารถช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงสมองได้ดี แต่ก็มีข้อเสียที่ทำให้เลือดเหลว เสริมฤทธิ์กับยาแอสไพรินที่คนไข้โรคหัวใจและหลอดเลือดมักได้รับจากแพทย์เพื่อป้องกันหลอดเลือดอุดตัน จะทำให้เลือดหยุดช้าถ้ามีบาดแผล ดังนั้น ก่อนการเลือกซื้อวิตามินใดๆ จึงควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวหรือผู้เชี่ยวชาญก่อนถึงผลดีผลเสียของยา 4. การตรวจสอบอายุของยาเป็นประจำ ยาแต่ละชนิดจะมีวันหมดอายุไม่เท่ากัน ยาเม็ดส่วนใหญ่มีอายุ 5 ปี ยาน้ำมักมีอายุ …

ปัญหานอนไม่หลับ จัดการได้อย่างไร

ปัญหาการนอนไม่หลับเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยมากขึ้นในยุคปัจจุบัน ซึ่งสังเกตได้จากการต้องใช้เวลามากกว่าปกติจึงจะหลับ และเมื่อหลับแล้วก็จะตื่นง่าย มีความรู้สึกว่าฝันร้าย ตื่นขึ้นมามีความอ่อนเพลีย ทำให้ขาดสมาธิในการทำงานระหว่างวัน ส่งผลต่อภาวะสุขภาพจิต ทำให้หงุดหงิดโมโหง่ายในระยะยาวด้วย อาการนอนไม่หลับ เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น 1. สิ่งแวดล้อมรอบข้าง มีเสียงดังรบกวน กลิ่นเหม็น สภาพอากาศที่ร้อนหรือหนาวเกินไป 2. มีภาวะโรคทางจิต อย่างเป็นโรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล หรือโรคเครียดทำให้ไม่สามารถหลับได้ง่าย 3. มีโรคทางกาย เช่น กรดไหลย้อน ทำให้มีอาการแสบร้อนคอในช่วงเวลาตอนนอน โรคหอบหืดหรือไออย่างรุนแรง ทำให้หายใจไม่โล่ง แน่นหน้าอกบ่อย เป็นเนื้องอกที่ทำให้มีความเจ็บปวด 4. การบริโภคเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูง จะกระตุ้นทำให้หลับยาก รวมถึงการสูบบุหรี่ที่มีสารนิโคติน ทำให้ร่างกายตื่นตัว 5. การใช้ยาที่มีผลข้างเคียงทำให้ใจสั่น เช่น ยารักษาหอบหืด ยาลดน้ำมูกบางตัว 6. การต้องเปลี่ยนการทำงานเป็นกะตลอดเวลา เช่น งานรอบเช้า บ่าย และดึก ทำให้ร่างกายไม่สามารถปรับตัวได้ 7. เกิดจากอายุ เนื่องจากอายุที่มากขึ้น กระบวนการทำงานของฮอร์โมนที่ช่วยในการหลับลดลง ทำให้คุณภาพในการนอนหลับแย่ลง วิธีลดปัญหาการนอนไม่หลับ สามารถเริ่มได้จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการเข้านอนให้เป็นเวลา อาจตั้งเวลาไว้ว่าต้องนอนไม่เกิน …

รู้จักไวรัสตับอักเสบบี โรคใกล้ตัวที่คนไทยมองข้าม

กระทรวงสาธารณสุขมีการเก็บสถิติพบว่า คนไทยเสียชีวิตด้วยการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี จำนวนมากกว่า 3 ล้านคน ซึ่งเชื้อนี้ไม่มีอาการแสดงของโรคที่ชัดเจนอย่างเฉียบพลัน จนกว่าจะมียืนยันด้วยการตรวจเลือดพบเชื้อ Hepatitis B อันเป็นสาเหตุของภาวะตับอักเสบ ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกทาง ก็ต้องเสี่ยงต่อโรคตับแข็งและกลายเป็นโรคมะเร็งตับในที่สุด สาเหตุของการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี มาจากหลายช่องทาง ได้แก่ 1. การมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัยป้องกัน ทำให้ได้รับเชื้อนี้จากคู่นอน (ไม่ว่าจะเป็นเพศเดียวกันหรือไม่ก็ตาม) 2. การเสพยาเสพติดด้วยเข็มฉีดยา ซึ่งใช้ร่วมกันหลายคน 3. การสักรูปแบบต่าง ๆ ตามร่างกาย หรือการเจาะหูที่มีการใช้เข็มร่วมกันกับคนอื่น 4. การติดเชื้อของทารกจากแม่ขณะคลอด 5. เจ้าหน้าที่ เช่น พยาบาล ผู้ช่วยแพทย์ ทำงานในโรงพยาบาล แล้วมีการสัมผัสกับปลายเข็มที่เจาะเลือดบุคคลที่ติดเชื้อนี้ ทำให้เป็นแผลจึงได้รับเชื้อสู่ร่างกาย อาการของโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบี โดยทั่วไป ผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเข้าสู่ร่างกาย เช่น หลังการสัก หลังการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน จะแสดงอาการที่ระยะเวลาหลังจากนั้นประมาณ 1 เดือนครึ่ง ถึง 3 เดือน หรืออาจยาวนานถึงครึ่งปี โดยจะมีอาการแสดงที่ไม่สามารถระบุได้แน่ชัด เช่น อ่อนเพลียง่าย รู้สึกเบื่ออาหาร …

5 ท่าบริหารร่างกายที่ไม่ช่วยลดความอ้วน

เจอกับ 5 ท่าบริหารร่างกายที่ไม่ช่วยลดความอ้วน เล่นให้ตายอย่างไรก็ไม่ผอมบาง พร้อมเปิดเผย 5 ท่าลดความอ้วนแบบง่ายๆแม้กระนั้นคุณภาพสูง การบริหารร่างกายถือได้ว่าเป็นการลดความอ้วนที่ดีอย่างหนึ่ง แม้กระนั้นไม่ใช่ว่าท่าบริหารร่างกายทุกเห็นจะช่วยทำให้น้ำหนักลดน้อยลง มีชายหนุ่มๆจำนวนหลายชิ้นเลยที่หลงผิดอย่างงี้ เนื่องจากตามหลักแล้วการลดความอ้วนจำเป็นจะต้องควบคุมด้านการกินอาหาร บริหารร่างกายแล้วก็พักให้พอเพียงพร้อมๆกัน แต่ว่าถ้าเกิดควบคุมเรื่องการกินอาหารอย่างยอดเยี่ยมก็แล้ว พักสุดกำลังก็แล้ว น้ำหนักก็ยังเหมือนเดิมอยู่ โน่นมีความหมายว่าคุณบริหารร่างกายในท่าที่ผิดจำเป็นต้องอยู่นั่นเอง ชายหนุ่มๆจะต้องทำความเข้าใจก่อนว่า มนุษย์เราไม่อาจจะเผาผลาญพลังงานเอาไขมันออกเฉพาะส่วนได้ โน่นคือคุณจำเป็นต้องเผาผลาญพลังงานแล้วก็ไขมันไปพร้อมตลอดตัว ดังนั้นแล้วท่าบริหารร่างกายช่วยลดความอ้วนควรเป็นท่าที่ออกกำลังกายพร้อมเพียงกันหลายส่วน ท่าที่ใช้บริหารร่างกายเฉพาะส่วนก็เลยไม่เป็นผลสำหรับในการลดหุ่น รวมทั้งนี่เป็น 5 ท่ายอดนิยมที่คนมักหลงผิดมีความคิดว่าเป็นท่าที่ใช้ลดความอ้วน ทดลองดูกันครับผมว่ามีท่าอะไรบ้าง ท่าที่ 1 Calf Raises ท่า Calf Raises หรือเรียกกล้วยๆเป็นการยืนบนที่สูงกว่าพื้นธรรมดาด้วยปลายตีนแล้วพากเพียรเขย่งตัวขึ้น-ลง ชายหนุ่มๆผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยมักหลงผิดว่าเป็นท่าสำหรับลดไขมันที่ขา แต่ว่าความเป็นจริงแล้วท่านี้มีไว้สำหรับสร้างกล้ามที่รอบๆน่อง ไม่เป็นผลต่อการลดความอ้วนอะไร ท่าที่ 2 Side Twists/Waist Twister การเล่นจานทวิสต์หรือเครื่องหมุนเอว เป็นการปรับสรีระที่รอบๆเอวแล้วก็พุงให้มองสวยแค่นั้น มิได้ช่วยเผาผลาญพลังงานหรือลดความอ้วน แม้เล่นเป็นระยะเวลาที่ยาวนานต่อเนื่องกันหลายๆวัน บางทีอาจจะทำให้เกิดผลกระทบต่อกระมองกสันหลังแล้วก็มีปัญหาปวดที่รอบๆเอวได้ ท่าที่ 3 Bicep Curls การชูเวท หรือชูดัมเบลหนักๆหลายๆครั้ง ทำให้ผู้บริหารร่างกายรู้สึกเมื่อยล้าและก็รู้สึกว่าเป็นท่าที่เผาผลาญพลังงานได้ดิบได้ดี แม้กระนั้นข้อเท็จจริงแล้ว Bicep Curls เป็นเพียงแค่ท่าบริหารกล้ามแขนให้มีรูปร่างที่ใหญ่รวมทั้งได้ส่วนสัดแค่นั้น ท่าที่ 4 Side Leg Raise การยืนหรือนอนโดยทิ้งขาข้างหนึ่งให้ติดพื้น แล้วกางขาอีกข้างออกแกว่งไปมา เป็นท่าที่ช่วยกระชับบั้นท้ายรวมทั้งต้นขา แม้กระนั้นเกือบจะมิได้ช่วยหัวข้อการเผาผลาญพลังงานเลย เนื่องจากเป็นท่าที่ใช้แรงน้อยรวมทั้งขยับเฉพาะส่วน ซึ่งจริงๆจัดว่าเป็นท่าวอร์มอัพซะด้วย ท่าที่ 5 Crunches/Sit up ท่าสำหรับสร้างเสริมกล้ามพุงกลุ่มนี้มิได้ช่วยทำให้ไขมันรอบๆท้องต่ำลงเลยแล้วก็ถึงแม้ว่าจะเล่นหนักขนาดไหนก็ไม่มีทางได้มองเห็นกล้ามพุง ถ้าเกิดชายหนุ่มๆไม่กำจัดไขมันในส่วนนั้นออกให้หมดซะก่อน ชี้แนะให้เอาเวลาไปเผาผลาญพลังงานเพื่อลดจำนวนไขมันสะสมให้เหลือต่ำที่สุดก่อนแล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยกลับมาเล่นท่านี้จะดียิ่งกว่า ท่าบริหารร่างกายที่บริหารพร้อมหลายส่วนมีเยอะมาก แต่ว่านี่เป็น 5 ท่าบริหารร่างกายที่ทำง่ายๆแม้กระนั้นมีคุณภาพสูง มีท่าอะไรบ้างไปดูกันขอรับ ท่าที่ 1 Burpees ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างดันพื้นไว้ แล้วทิ้งขาทั้งสองข้างไปข้างหลังเสมือนท่าวิดพื้น งอศอกปลดปล่อยให้ทรวงอกลงมาแทบถึงพื้นแล้วดันตัวขึ้นไปยืนด้วยความรวดเร็วแล้วกระโจนตบก่อนกลับมายืนในท่าธรรมดา ทำใหม่โดยประมาณ 8-12 ครั้ง วันละ 3 เซต จะช่วยเผาผลาญพลังงานได้มากอย่างยิ่งจริงๆ ท่าที่ 2 Explosive Lunges ท่านี้เริ่มด้วยการสรุปตัวพร้อมก้าวขาขวาไปด้านหน้า งอเข่าทำมุม 90 องศาแต่ว่าอย่าให้หัวเข่าข้างซ้ายติดพื้น ทิ้งเอาไว้ 1 วินาที จากนั้นกระโจนสลับขากลางอากาศให้ขาซ้ายมาอยู่ข้างหน้าแทน ทำสลับกันแบบงี้จนถึงครบ 1นาที วันละ 3 เซต รับประกันน้ำหนักลดแน่ ท่าที่ 3 Squats เทรนเนอร์โดยมากชอบเสนอแนะให้ทำท่านี้ เนื่องจากว่าเป็นท่าที่มีคุณภาพสูงมากมายสำหรับเพื่อการเผาผลาญพลังงาน กล้วยๆเพียงแค่เริ่มด้วยการยืนกางขาให้กว้างพอๆกับไหล่ ย่อตัวลงพร้อมงอเข่าให้ต้นขาขนานกับพื้นเสมือนคุณกำลังนั่งเก้าอี้ลมอยู่ แล้วต่อจากนั้นดันตนเองขึ้นกลับสู่ภาวะเดิมโดยในขั้นแรกมือทั้งสองข้างบางครั้งอาจจะกางออกหรือจับไว้ที่กำดัน แม้ช่ำชองแล้วจะถือดัมเบลไว้เพื่อช่วยทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นก็ได้ ทำเพียงแค่วันละ 3 เซต เซตละ 15 ครั้งก็เกินพอ ท่าที่ 4 Mountain Climbers เริ่มด้วยการตั้งท่าตระเตรียมวิดพื้น งอเข่าข้างขวาแล้วดันขึ้นมาให้ใกล้ทรวงอกสูงที่สุดอย่าให้ปลายตีนติดพื้น จากนั้นดันขาขวากลับไปที่เก่ากับดึงหัวเข่าซ้ายให้มาติดอกแทน ทำสลับกันไปอย่างสม่ำเสมอรวมทั้งเบาๆเพิ่มความเร็วขึ้นเมื่อมีความชำนิชำนาญ ทำแค่เพียง 3 เซต เซตละ 1 นาทีก็ช่วยเผาผลาญพลังงานได้มากมายแล้วสำหรับท่านี้ ท่าที่ 5 Jump …

คนไข้โรคเบาหวาน ต้องการลดน้ำตาลในเลือด ออกแรงอย่างไรดี

คนเจ็บโรคเบาหวานควรจะบริหารร่างกายเช่นไร ที่จะช่วยลดน้ำตาลในเลือดให้กลับสู่ภาวการณ์ธรรมดาได้ ไม่เสี่ยงโรคแทรกจากโรคเบาหวานไปอีก เบาหวานจัดเป็นภัยสุขภาพที่น่าสยดสยอง แล้วก็มองทรงแล้วเริ่มจะรุกรามชีวิตคนวัยทำงานกันมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผู้ใดกันแน่ที่ตรวจเจอเบาหวานในช่วงแรกๆหรือมีคนภายในครอบครัวป่วยด้วยเบาหวาน แล้วต้องการให้เขาบริหารร่างกาย ลดน้ำตาลในเลือดอย่างเหมาะควร วันนี้กระปุกดอทคอมมีแนวทางการบริหารร่างกายในคนเป็นเบาหวาน มาฝากจ้ะ ก่อนบริหารร่างกาย การบริหารร่างกายสำหรับคนไข้โรคเบาหวาน จะต้องนึกถึงสุขภาพและก็ระดับความร้ายแรงของเบาหวานเป็นหลัก ด้วยเหตุนี้ก่อนบริหารร่างกายควรปฏิบัติดังต่อไปนี้ 1. ขอคำแนะนำหมอหัวข้อการบริหารร่างกาย ว่าพวกเราสามารถบริหารร่างกายได้มาก-น้อยเพียงใด 2. ควรจะควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ค่อนข้างจะนิ่งก่อน โดยระดับน้ำตาลในเลือดไม่สมควรเกิน 250 มก./ดล. สำหรับคนเป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 1 ส่วนคนเป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ต้องมีระดับน้ำตาลในเลือดไม่เกิน 300 มก./ดล.  3. ตรวจทานเท้าก่อนบริหารร่างกายทุกคราวว่าไม่มีแผล ไม่มีร่องรอยของอาการบาดเจ็บอะไรก็ตามเพราะว่าคนเป็นเบาหวานโดยมากบางทีอาจไม่มีความรู้สึกที่มือแล้วก็เท้า ทำให้ไม่รู้ตัวว่ามีรอยแผลเกิดขึ้น 4. ควรที่จะเลือกรองเท้าที่สมควรสำหรับกีฬาแต่ละประเภท 5. บริหารร่างกายในสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก 6. ควรจะออกแรงข้างหลังมื้อของกินอย่างต่ำ 1-2 ชั่วโมง 7. วอร์มอัพ 5-10 นาที ก่อนบริหารร่างกาย ด้วยการยืดเหยียดหยาม(stretching) เพื่อคุ้มครองปกป้องภาวการณ์ข้อติดที่พบได้บ่อยในคนไข้โรคเบาหวาน 8. ควรจะพกลูกกวาดหรือน้ำตาลเผื่อไว้ เมื่อรู้สึกวูบ ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำจะได้ดูแลรักษาพยาบาลเบื้องต้นพื้นฐานได้ทัน ท่าบริหารร่างกาย คนเจ็บโรคเบาหวานควรจะบริหารร่างกายยังไงดี  ที่จริงแล้วคนป่วยโรคเบาหวานสามารถบริหารร่างกายได้หลายประเภท ขึ้นกับความพร้อมเพรียงของสภาพร่างกาย โดยแนวทางบริหารร่างกายของคนป่วยโรคเบาหวานก็มีดังตั้งแต่นี้ต่อไปเลยจ้ะ – เดินบริหารร่างกาย ควรจะเดินให้ได้ 20-45 นาทีขึ้นไป ซึ่งจุดนี้ระดับอินซูลินจะเริ่มน้อยลง  >> เดินบริหารร่างกายแต่ละนาที ร่างกายจะได้ประโยชน์ดีๆอะไรบ้าง  – ขี่จักรยาน – การบริหารร่างกายแบบแอโรบิก (ระดับปานกลาง) ขั้นต่ำ 150 นาทีต่ออาทิตย์ หรือทีละ 20-40 นาที อาทิตย์ละ 3-5 ครั้ง – บริหารร่างกายสร้างเสริมความแข็งแรงของกล้าม ดังเช่นว่า การชูเวทเกร็งกล้าม การดึงยางยืด ขั้นต่ำ 2 วันต่ออาทิตย์ พร้อมกันไปกับการบริหารร่างกายชนิดอื่น เพื่อช่วยทำให้กล้ามและก็ระบบประสาทแข็งแรงขึ้น ท่าบริหารร่างกาย – โยคะ การบริหารร่างกาย >> สร้างสมดุลให้ร่างกาย…กับท่าโยคะกล้วยๆทำเองถึงที่กะไว้บ้าน  – ว่าย ดังนี้ควรจะย้ำการบริหารร่างกายแบบเคลื่อนอย่างสม่ำเสมอ โดยหมดแรงชนหรือมีแรงชนต่ำ ดังเช่น การเดิน ขี่จักรยาน ว่าย รำไทเก๊ก โยคะ และก็การบริหารร่างกาย รวมทั้งควรเริ่มบริหารร่างกายแบบเบาๆก่อน แล้วก็ค่อยเพิ่มเป็นปานกลาง เพื่อร่างกายได้มีการปรับนิสัย ที่สำคัญควรจะบริหารร่างกายบ่อยๆอย่างสม่ำเสมอ ในขณะเดียวกันในทุกๆวัน เพื่อร่างกายกำเนิดความเคยชิน รวมทั้งเป็นการช่วยควบคุมระดับอินซูลินของร่างกายไปในตัว ท้ายที่สุดเมื่อบริหารร่างกายเสร็จ คนไข้โรคเบาหวานควรจะกระทำการคูลดาวน์ 5-10 นาที เพื่อลดการบาดเจ็บ และก็สลายกรดแล็กติกที่ค้างอยู่รอบๆกล้าม จะช่วยทำให้ไม่เคยทราบสึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวข้างหลังบริหารร่างกายจ้ะ ท่าบริหารร่างกาย ข้อพึงระวังสำหรับเพื่อการบริหารร่างกายสำหรับผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวาน คนที่มีปัญหาข้อหัวเข่า ข้อเท้า ควรจะเลี่ยงการบริหารร่างกายที่มีแรงชนอาทิเช่น การวิ่ง กระโจนเชือก ฯลฯ ผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวานที่มีลักษณะอาการชารอบๆปลายประสาทไม่สมควรวิ่งหรือกระโจน แต่ว่าน่าจะบริหารร่างกายด้วยการขี่จักรยานเพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดแล้วก็กระตุ้นปลายประสาท คนเจ็บโรคเบาหวานจำพวกขึ้นตาควรจะหลบหลีกการบริหารร่างกายที่ใช้แรงต่อต้านมากมาย อย่างโยคะ หรือการกีฬายกน้ำหนัก ถ้ามีโรคประจำตัวอื่นๆดังเช่นว่า โรคหัวใจ ความดันเลือดสูง ไม่สมควรบริหารร่างกายที่จำเป็นต้องใช้แรงมากมายๆรวมทั้งควรจะบริหารร่างกายตามความเหมาะสมภายใต้อำนาจบังคับของหมอ ถ้าเกิดมีลักษณะแตกต่างจากปกติในระหว่างบริหารร่างกาย ดังเช่นว่า วูบหน้ามืด เหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างยิ่ง หายใจแรง เวียนหัว ควรจะหยุดบริหารร่างกายในทันที แล้วก็ควรจะขอความเห็นหมอด้วยนะคะ  แม้มีภาวการณ์โรคเบาหวานที่ยังควบคุมมิได้ หรือมีสภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือโรคหัวใจขาดเลือดที่ยังควบคุมมิได้ ห้ามบริหารร่างกายโดยเด็ดขาด อย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าคุณเป็นคนป่วยโรคเบาหวานที่เคยมีลักษณะของสภาวะน้ำตาลต่ำ หรือเป็นคนป่วยโรคเบาหวานที่จำต้องใช้ยาอินซูลินอยู่เสมอ ควรจะมีการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดก่อน ขณะ และก็ข้างหลังบริหารร่างกายและก็ควรจะขอคำแนะนำหมอก่อนบริหารร่างกายเพื่อที่จะได้ให้พวกเราเลือกออกพลังกายได้อย่างเหมาะควรกับร่างกายตนเอง อ๋อ ! ระหว่างบริหารร่างกายควรจะจิบน้ำเป็นระยะเพื่อคุ้มครองป้องกันภาวการณ์ขาดน้ำด้วยนะคะ  ดังนี้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดก็น่าจะจำเป็นต้องควบคุมเรื่องการกินอาหารด้วยกันด้วย โดยพวกเรามีแนวทางลดน้ำตาลในเลือดมาแชร์ต่อ ดังต่อไปนี้เลยจ้ะ