กระทรวงสาธารณสุขมีการเก็บสถิติพบว่า คนไทยเสียชีวิตด้วยการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี จำนวนมากกว่า 3 ล้านคน ซึ่งเชื้อนี้ไม่มีอาการแสดงของโรคที่ชัดเจนอย่างเฉียบพลัน จนกว่าจะมียืนยันด้วยการตรวจเลือดพบเชื้อ Hepatitis B อันเป็นสาเหตุของภาวะตับอักเสบ ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกทาง ก็ต้องเสี่ยงต่อโรคตับแข็งและกลายเป็นโรคมะเร็งตับในที่สุด
สาเหตุของการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี มาจากหลายช่องทาง ได้แก่
1. การมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัยป้องกัน ทำให้ได้รับเชื้อนี้จากคู่นอน (ไม่ว่าจะเป็นเพศเดียวกันหรือไม่ก็ตาม)
2. การเสพยาเสพติดด้วยเข็มฉีดยา ซึ่งใช้ร่วมกันหลายคน
3. การสักรูปแบบต่าง ๆ ตามร่างกาย หรือการเจาะหูที่มีการใช้เข็มร่วมกันกับคนอื่น
4. การติดเชื้อของทารกจากแม่ขณะคลอด
5. เจ้าหน้าที่ เช่น พยาบาล ผู้ช่วยแพทย์ ทำงานในโรงพยาบาล แล้วมีการสัมผัสกับปลายเข็มที่เจาะเลือดบุคคลที่ติดเชื้อนี้ ทำให้เป็นแผลจึงได้รับเชื้อสู่ร่างกาย
อาการของโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบี
โดยทั่วไป ผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเข้าสู่ร่างกาย เช่น หลังการสัก หลังการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน จะแสดงอาการที่ระยะเวลาหลังจากนั้นประมาณ 1 เดือนครึ่ง ถึง 3 เดือน หรืออาจยาวนานถึงครึ่งปี โดยจะมีอาการแสดงที่ไม่สามารถระบุได้แน่ชัด เช่น อ่อนเพลียง่าย รู้สึกเบื่ออาหาร เป็นไข้ ปวดเมื่อยตามตัว ถ่ายบ่อย ท้องอืด ฯลฯ ซึ่งจะมีอาการอย่างนี้ 1-2 สัปดาห์
หลังจากนั้น จะมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งแสดงถึงพยาธิสภาพในตับ ร่วมกับปัสสาวะสีเข้มผิดปกติ ซึ่งเมื่อมีอาการเหล่านี้ ต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจร่างกายโดยละเอียดและรักษาให้ตรงสาเหตุต่อไป
การรักษาและการปฏิบัติตัวของผู้เป็นโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบี
หลังจากที่แพทย์ตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในร่างกาย จะให้ยาที่นิยมใช้ คือ ลามิวูดีน (Lamivudine) เพื่อช่วยในการควบคุมเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาค่อนข้างนาน ผู้ที่แพทย์ตรวจพบว่ามีเชื้อนี้อยู่ในร่างกาย จึงจำเป็นต้องบอกให้ผู้ใกล้ชิด เช่น สามีหรือภรรยาทราบ เพื่อการป้องกันไม่ให้ติดเชื้อ ได้แก่ การมีเพศสัมพันธ์ที่ต้องสวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง ทั้งนี้ แพทย์มักแนะนำให้คนใกล้ชิดไปรับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีไว้ด้วย
นอกจากนี้ ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ยังต้องรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งและมาตรวจร่างกายตามนัดเป็นประจำ ให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม งดการบริจาคโลหิต งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะยิ่งทำให้ตับเสื่อมเร็วขึ้น การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ภูมิต้านทานของร่างกายแข็งแรง และทำให้ตับได้รับการฟื้นฟูอย่างดีที่สุด