เรื่องอื่นๆ

พักผ่อนเต็มอิ่มด้วย 5 เทคนิคผ่อนคลายความเครียดช่วงก่อนนอน

พักผ่อนเต็มอิ่มด้วย 5 เทคนิคผ่อนคลายความเครียดช่วงก่อนนอน

เชื่อว่าหลายคนน่าจะทราบดีอยู่แล้วว่า อาการนอนไม่หลับส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว เพราะจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ความจำสั้น และไม่มีสมาธิ สำหรับสาเหตุยอดนิยมที่ทำให้คนนอนไม่หลับ ได้แก่ ปัญหาความเครียด เพราะฉะนั้นลองมาดูกันว่าจะมีวิธีอะไรที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดช่วงก่อนนอนได้เป็นอย่างดีบ้าง 5 เทคนิคผ่อนคลายความเครียดช่วงเวลาก่อนนอน 1.กำหนดลมหายใจการกำหนดลมหายใจถือเป็นเรื่องง่ายสำหรับคนที่นั่งสมาธิเป็นประจำอยู่แล้ว โดยการกำหนดลมหายใจคือการหายใจเข้าและออกอย่างช้า ๆ และสม่ำเสมอ ซึ่งช่วยให้จิตใจจดจ่อกับลมหายใจ ทำให้มีสมาธิมากขึ้น ส่งผลให้อาการกังวลเรื่องต่าง ๆ น้อยลง หรือบางคนอาจใช้วิธีสวดมนต์ก็ได้เช่นกัน เพราะการสวดมนต์ทำให้จดจ่อกับบทสวด ซึ่งจะทำให้จิตใจผ่อนคลายและมีสมาธิ 2.จิบน้ำผึ้งผสมน้ำอุ่นเป็นที่ทราบกันดีว่าน้ำผึ้งธรรมชาติอัดแน่นด้วยประโยชน์มากมาย การผสมน้ำผึ้งประมาณ 1 ช้อนชากับน้ำอุ่นและดื่มก่อนนอนจะช่วยคลายความเครียดได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะน้ำผึ้งจะทำหน้าที่กระตุ้นสมองให้หลั่งสารซีโรโทนินออกมา ส่งผลให้สมองผ่อนคลายจากเรื่องราวน่าปวดหัวได้เป็นอย่างดี 3.แช่น้ำอุ่นบ้านใครมีอ่างอาบน้ำแนะนำให้ใช้วิธีนี้เลย เพราะน้ำอุ่นจะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และทำให้รู้สึกสบายตัวรวมถึงสบายใจยิ่งขึ้น โดยควรใช้เวลาแช่น้ำอุ่นประมาณ 20-30 นาที หากเป็นไปได้อย่าลืมเลือกครีมอาบน้ำกลิ่นที่ทำให้ร่างกายผ่อนคลาย เพื่อความสบายมากยิ่งขึ้น 4.เปิดเพลงคลอเบา ๆเสียงเพลงนับเป็นตัวช่วยชั้นยอดสำหรับคนที่อยากหลับง่ายและต้องการผ่อนคลายความเครียดช่วงก่อนนอน ไม่ว่าจะเป็นแนวเพลงประเภทใดก็ฟังได้หากเป็นเพลงที่ชื่นชอบและฟังแล้วสบายใจ แต่ถ้าจะให้ดีแนะนำให้เป็นเพลงบรรเลงและหลีกเลี่ยงบทเพลงเร็วหรือบทเพลงจังหวะหนัก ๆ เพราะอาจทำให้ร่างกายตื่นตัวจนนอนไม่หลับก็เป็นได้ 5.เลือกใช้น้ำมันหอมระเหยตัวช่วยชั้นดีที่หลายคนนิยมนำมาใช้บำบัดจิตใจช่วงก่อนนอน ใช้งานง่ายเพียงจุด หยด หรือฉีดให้ฟุ้งในอากาศ สำหรับกลิ่นที่ออกแบบมาเพื่อการนอนหลับสบายคลายเครียด ขอแนะนำกลิ่นลาเวนเดอร์ ตัวช่วยให้ร่างกายและจิตใจสงบนิ่ง ลดความกังวล กลิ่นยูคาลิปตัส เพิ่มบรรยากาศผ่อนคลาย เพิ่มความสดชื่นให้แก่ห้อง …

4 วิธีรับมือ เมื่อต้องร่วมงานกับคนที่เราไม่ชอบ

4 วิธีรับมือ เมื่อต้องร่วมงานกับคนที่เราไม่ชอบ

ในสังคมของการทำงาน เราต้องเจอกับเพื่อนร่วมงานที่ทั้งดีและไม่ดี ทั้งที่เราชอบและไม่ชอบ ถ้าเลือกได้เราก็อยากทำงานกับคนที่เราชอบเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง มีหลายต่อหลายครั้งที่เราต้องร่วมงานกับคนที่เราไม่ชอบ และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือมีความจำเป็นอันใดก็ตาม ที่ทำให้เราต้องมารับผิดชอบงานที่ทำร่วมกัน เราจะมีวิธีการรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแบบนี้อย่างไร ลองมาเรียนรู้ 4 วิธีรับมือเมื่อต้องร่วมงานกับคนที่เราไม่ชอบกัน อยู่ให้ห่าง เว้นช่องว่างระหว่างกันเข้าไว้เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่ไม่ชอบหรือไม่ถูกกัน ที่มักจะต่างคนต่างอยู่ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน แต่ถ้าวันหนึ่งต้องมาทำงานร่วมกัน จากที่เคยต่างคนต่างอยู่ เว้นระยะห่างระหว่างกัน อาจจะใช้ไม่ได้เสียแล้วกับสถานการณ์แบบนี้ สิ่งที่คนทำงานแบบมืออาชีพเขาทำกันนั่นก็คือ ทำงานตามหน้าที่ที่ตัวเองรับผิดชอบไป และก็คุยเฉพาะที่จำเป็นต้องคุยเท่านั้น ไม่คุยนอกเรื่องเพราะอาจทำให้เกิดประเด็นปัญหาใหม่ เมื่อมีสิ่งที่ต้องพูดคุยรายละเอียดของงานหรือจะประชุม หรือมีประเด็นที่ต้องปรึกษากันก็คุยปกติ เมื่อได้คำตอบก็เดินออกมา นั่งทำงานตามหน้าที่ของเราต่อไป แยกแยะระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวสิ่งสำคัญที่ทำให้คนที่เกลียดกัน ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้เลย นั่นก็คือ การไม่แยกแยะเรื่องส่วนตัวและเรื่องงานออกจากกัน บางคนเกลียดกันเพราะเรื่องส่วนตัว แล้วก็พาลมามีปัญหาในเรื่องของงานตามไปด้วย ดังนั้น เมื่อต้องร่วมงานกัน เราต้องบอกตัวเองให้ได้ว่า แยกปัญหาที่เป็นเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงานให้ได้ก่อน สิ่งไหนที่จำเป็นต้องคุยก็ต้องคุย อย่าเอาเรื่องอคติส่วนตัวมาผูกเข้ากับเรื่องงาน เราต้องแยกความรู้สึกออกให้ได้อย่างชัดเจน เพราะสิ่งนี้มันบ่งบอกถึงความเป็นมืออาชีพของตัวเราเอง ไม่สนใจเรื่องอื่น โฟกัสแต่เรื่องงานอย่างเดียวไม่ว่าปัญหาระหว่างเรากับคนที่เราไม่ชอบ จะมีสาเหตุมาจากเรื่องใดก็ตาม หากต้องทำงาน ก็ตัดเรื่องความไม่ชอบใจไม่พอใจออกไป แล้วโฟกัสเฉพาะจุด สนใจแต่เนื้อหาของงานอย่างเดียวก็พอ เพื่อให้เราทำงานต่อไปได้ หากเราเอาเรื่องความไม่ชอบ ความเกลียดมาอยู่กับเราทุกขณะเสียแล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือ ใจเราเองที่จะเป็นทุกข์ ซึ่งเราไม่รู้เลยว่าคนที่เราไม่ชอบนั้นเขาจะรู้ตัวไหมว่าเราไม่ชอบ เราอาจจะคิดและรู้สึกไปเองฝ่ายเดียวก็เป็นได้ …

เมนูอาหารมื้อเร่งด่วนสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

เมนูอาหารมื้อเร่งด่วนสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

ในยุคปัจจุบันผู้หญิงต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ทำให้มีคุณแม่ตั้งครรภ์จำนวนไม่น้อยที่ต้องรีบออกไปทำงานในตอนเช้า เมนูอาหารเหล่านี้จะช่วยให้คุณแม่ตั้งครรภ์สามารถดูแลเรื่องอาหารการกินในช่วงเช้าได้เร็วและได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน ข้าวกล้อง + ต้มจืดตำลึงเมนูอาหารจานนี้เป็นเมนูที่ทำง่าย อิ่มท้องและยังทำให้ได้รับสารอาหารจากโปรตีน ไขมันและคาร์โบไฮเดรตอย่างครบถ้วน เริ่มจากการเลือกรับประทานข้าวกล้อง เนื่องจากภายในข้าวกล้องมีไฟเบอร์ วิตามินและทำให้อิ่มท้องได้นานกว่า รับประทานกับต้มจืดตำลึงที่ทำได้ง่าย ๆ เริ่มจากการต้มน้ำให้เดือด ปรุงรสด้วยเกลือและซีอิ๊ว ตามด้วยหมูบดหรือหมูสับปั้นเป็นก้อนที่ปรุงรสง่าย ๆ ด้วยการใส่ 3 เกลอ (กระเทียม, รากผักชี และพริกไทย) และซีอิ๊วเพียงเล็กน้อย คลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่ลงไปในน้ำซุปเดือดจัด รอจนกว่าหมูจะสุกแล้วจึงเติมตำลึงลงไป ปิดไฟพร้อมเสิร์ฟ ผักผักรวมกุ้งราดข้าวนำผักที่คุณแม่ชอบสัก 2 – 3 ชนิด มาล้างให้สะอาดและหั่นให้เรียบร้อย แกะเปลือกกุ้ง หรือใช้กุ้งแกะแล้วที่มีขายตามท้องตลาดนำมาทำความสะอาดพักเตรียมไว้ ตามด้วยกระเทียมทุบ เริ่มลงมือทำด้วยการตั้งไฟกลาง ใส่น้ำมันเพียงเล็กน้อย เมื่อน้ำมันร้อนได้ที่ใส่กระเทียบทุบลงไป ตามด้วยผักที่สุกยากและกุ้ง ปรุงรสด้วยน้ำตาล ซีอิ๊วและน้ำมันหอยเพียงเล็กน้อย คลุกเคล้าให้เข้ากัน ตามด้วยผักที่สุกง่าย เมื่อผักสุกเรียบร้อย ตักราดใส่ข้าวกล้องที่เตรียมไว้ ไข่ตุ๋นหมูสับวุ้นเส้นเป็นเมนูที่มีทั้งวัตถุดิบและใช้เวลาปรุงน้อยมาก เริ่มจากการตอกไข่ 2 ฟองลงในถ้วย ตีไข่ให้เข้ากัน ใส่หมูสับและวุ้นเส้นลงไป จากนั้นปรุงรสด้วยซีอิ๊วเพียงเล็กน้อย นำไปนึ่งประมาณ …

อยากเปิดร้านเสริมสวยให้คนเข้าร้านแน่นทั้งวัน ต้องทำอย่างไร

อยากเปิดร้านเสริมสวยให้คนเข้าร้านแน่นทั้งวัน ต้องทำอย่างไร

หากสังเกตดูจะพบว่ามีร้านเสริมสวยตั้งอยู่ในถนนทุกเส้น แม้แต่ในห้างสรรพสินค้ายังมีร้านเสริมสวยมากกว่า 1 ร้าน ที่พร้อมให้บริการตลอดเวลาห้างเปิด แต่อย่างไรก็ตาม แต่ละร้านจะมีปริมาณลูกค้าเข้าออกไม่เท่ากัน บางร้านมีคนต่อคิวแน่น ขณะที่บางร้านแทบไม่มีคนเลย แสดงว่าต้องมีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจมาใช้บริการแต่ละร้าน ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องการทำกิจการร้านเสริมสวยของตัวเองให้มีลูกค้ามาก ๆ ขอเชิญศึกษาเทคนิคว่าทำอย่างไรร้านถึงจะมีคนแน่นตลอดเวลา 1.เลือกทำเลที่ดีทำเลถือว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจร้านเสริมสวย โดยควรเลือกทำเลในห้างสรรพสินค้าหรืออยู่ติดถนนที่มีคนเดินผ่านไปมามาก ยิ่งอยู่ในย่านชุมชน ตลาด สถาบันการศึกษา ออฟฟิศ เสริมรถไฟฟ้า ฯลฯ ที่มีจำนวนนักศึกษา คนวัยทำงาน พนักงานประจำที่ต้องการเสริมบุคลิกภาพให้ดูดีมากเท่าไหร่ คุณก็มีโอกาสที่จะได้ลูกค้ามาใช้บริการตลอดเวลาเปิดร้านมากเท่านั้น 2.มีบริการแบบครบวงจรร้านเสริมสวยยุคใหม่ ควรมีบริการหลากหลาย เช่น ตัด-ดัด-ทำสีผม สระ-ซอยผม ทาสีเล็บ-ต่อเล็บแฟชั่น นวดหน้าผ่อนคลายและกระชับใบหน้า นวดตัว นวดเท้า ฯลฯ ยิ่งมีบริการมากเท่าใด ลูกค้าจะประทับใจและอยากมาที่ร้านเพื่อทำให้บุคลิกภาพดูดีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าในร้านคุณที่เดียว 3.มีสินค้าให้ซื้อไปใช้ที่บ้านนอกจากการใช้บริการในร้านที่ทำให้คุณมีรายได้อย่างทันทีแล้ว คุณควรเป็นแหล่งจัดจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวกับการบำรุงความงามของแบรนด์ต่าง ๆ ด้วย เช่น ครีมพอกตัว พอกหน้าน้ำยาทาเล็บ เซรั่มบำรุงเส้นผม ครีมกระชับสัดส่วน ฯลฯ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ลูกค้าร้านเสริมสวยมักมองหา เพื่อนำไปใช้ดูแลตัวเองได้ที่บ้านด้วย หากคุณมีสินค้าดีไว้บริการ รับรองว่าขายดีมีลูกค้าติดใจกลับมาบ่อย ๆ แน่นอน 4.มีมาตรฐานของร้านสูงความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญ พนักงานในร้านเสริมสวยควรผ่านคอร์สอบรมต่าง …

3 คำคมกับเรื่องราวชีวิตของ Taylor Swift เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ

3 คำคมกับเรื่องราวชีวิตของ Taylor Swift เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบสาว Taylor Swift แล้วได้ติดตามทาง social media จะเห็นได้ว่าประโยคที่เกิดจากความคิดของเธอเป็นคำสวย ๆ เสมือนกับคำกลอนและยังเป็นแรงบันดาลใจหรือเปลี่ยนชีวิตให้คนรอบตัวและแฟนคลับของเธอ ด้วยเหตุนี้ เราจึงมีคำคมดี ๆ จากเธอมาฝากกัน เผื่อว่าจะเป็นกำลังใจให้กับคุณไม่มากก็น้อย ซึ่งมีอะไรบ้าง มาดูกัน ใช้ชีวิตเสมือนกับการก้าวเดินแต่ก้าวได้ทีละก้าว การใช้ชีวิตของสาว Taylor swift เริ่มทีละก้าว โดยเธอเกิดวันที่ 13 ธันวาคม 1989 เมืองที่ชื่อว่า Wyomissing ประเทศสหรัฐอเมริกา เธอได้จบการศึกษาจาก Aaron Academy เมื่อเดือน กรกฎาคม 2008 เป็นโรงเรียนคริสต์ที่อยู่ในเมือง Hendersonville และเธอเคยชนะแต่งกลอน Monster In My Closet ต่อมาเมื่อเธออายุ 10 ขวบ ได้มีการแข่งขันร้องเพลงในวันสำคัญต่าง ๆ และเมื่อเธออายุ 12 ปี เธอเริ่มฝึกเล่นกีตาร์ วันละ 4 ชั่วโมง ฝึกหนักจนกระทั่งนิ้วของเธอเลือดออก นอกจากนี้เมื่ออายุ …

เทคนิคสร้างความสดชื่นในทุกวัน

ปัจจุบันเราทำงานท่ามกลางความเครียดและมีแรงกดดันจากรอบข้าง ทั้งจากหัวหน้า ลูกค้า หรือ ภาวะเศรษฐกิจสังคมที่มีการแข่งขันมากมาย ทำให้คนจำนวนไม่น้อยมีความเบื่อและเครียด ขาดความสดใสในการทำงาน การเสริมประสิทธิภาพในการทำงานโดยมีอารมณ์ที่แจ่มใสได้ จึงต้องหาเทคนิคที่เหมาะสมสำหรับตัวเองในการเสริมสร้างสุขภาพกายและใจให้ดี เรามาดูกันว่า มีเทคนิคอะไรบ้างที่คนทั่วไปนิยมกัน สดชื่นได้ทุกวัน ด้วยวิธีเหล่านี้ 1. การดื่มกาแฟและโกโก้ กาแฟและโกโก้เป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับคนรุ่นใหม่ การดื่มอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ได้รับสารที่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบการทำงานของสมอง จึงเพิ่มความกระฉับกระเฉงตื่นตัวได้อีก 2-3 ชั่วโมง โดยเฉพาะถ้าคุณมีอาการนอนไม่หลับ การดื่มเครื่องดื่มกลุ่มนี้ จะช่วยให้คุณตาสว่างดียิ่งขึ้นแน่นอน อย่างไรก็ตาม คนที่มีอาการแพ้กาแฟ เช่น ใจสั่น นอนไม่หลับ เวียนศีรษะ ควรเลี่ยงไปดื่มเครื่องดื่มกลุ่มน้ำหวานแทน 2. รับประทานอาหารที่มีค่าไกลซีมิคอินเดกซ์ต่ำ อาหารที่มีค่า glycemic index ต่ำ หมายถึง อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนสูง เมื่อรับประทานเข้าไปและผ่านกระบวนการย่อยแล้วร่างกายจะได้รับพลังงานอย่างสม่ำเสมอหลายชั่วโมง มักเป็นกลุ่มธัญพืช เช่น ถั่ว ข้าวไม่ขัดสี ขนมปังโฮลวีต การรับประทานอาหารเหล่านี้เป็นประจำ จะทำให้ระบบร่างกายทำงานได้สมดุล เสริมความสดชื่นได้นานทั้งวัน และยังลดโอกาสการเป็นโรคอ้วนและเบาหวานได้ด้วย 3. เดินทักทายเพื่อนร่วมงานในออฟฟิศ ถ้าคุณทำงานในออฟฟิศ ก่อนทำงานสัก 5-10 นาที ควรเดินทักทายเพื่อนตามโต๊ะต่าง …

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการทำบุญปล่อยสัตว์

การทำบุญด้วยการปล่อยสัตว์ที่กำลังจะถูกนำไปฆ่านั้น เป็นความนิยมของคนไทยมาแต่โบราณ ซึ่งเชื่อว่าเป็นการช่วยให้สัตว์มีชีวิตรอดและเกิดกุศลที่ยิ่งใหญ่ ทำให้คนที่ปล่อยสัตว์ได้บุญสูง แคล้วคลาดจากอันตรายร้ายแรงได้ สัตว์ที่คนไทยนิยมปล่อยจะมีความหมายต่างกัน ดังนี้ 1. ปลาไหล ปลาไหลเป็นปลาที่มีรูปร่างคล้ายงู ทำให้มีความเชื่อว่า เมื่อปล่อยปลาไหลจะทำให้ชีวิตลื่นไหล ทำสิ่งใดก็ไม่มีอุปสรรค และทำให้พ้นภัยจากคนที่คิดร้ายด้วย 2. เต่า เต่าเป็นสัตว์ที่มีอายุยืนและมีกระดองที่แข็งแรงช่วยป้องกันตัวเองให้พ้นภัยจากสัตว์ใหญ่ การปล่อยเต่าจึงทำให้ผู้ที่ทำบุญมีอายุยืน โรคภัยต่าง ๆ ที่เป็นอยู่อาการทุเลาหรือหายได้ ส่วนผู้ที่กำลังมีเคราะห์ร้ายก็จะทำให้ชีวิตพ้นจากอุปสรรคได้อย่างน่าอัศจรรย์ 3. หอยขม หอยขมเป็นสัตว์ที่มีชื่อแสดงถึงความขมขื่นเศร้าโศก การปล่อยหอยขมจึงเป็นการทำให้หมดทุกข์โศก พ้นจากเรื่องที่ทำให้เสียใจหรือเครียดต่าง ๆ เหมาะกับผู้ที่กำลังประสบปัญหาในชีวิตอย่างมาก 4. นก นกเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอิสระ การปล่อยนกจึงเหมือนเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ที่หมดจากปัญหาภาระต่าง ๆ ทั้งด้านการงาน การเงินและปัญหาครอบครัวได้ การปล่อยสัตว์เป็นการทำบุญที่ดี แต่ทั้งนี้ต้องพิจารณาองค์ประกอบต่าง ๆ ด้วย เช่น 1. สถานที่ซื้อสัตว์ ควรเป็นตลาดที่แม่ค้ากำลังจะนำสัตว์เหล่านั้นไปฆ่า เพื่อเป็นการช่วยให้สัตว์เหล่านั้นได้รอดชีวิตจริง ๆ ซึ่งมีคำเรียกว่า เป็นการช่วยชีวิตหน้าเขียง เป็นสิ่งที่ทำแล้วมีบุญใหญ่เกิดขึ้นทันที 2. สถานที่นำสัตว์ไปปล่อย ควรศึกษาว่าสัตว์แต่ละชนิดเติบโตในน้ำแบบใด เช่น น้ำเค็ม …